Mitsubishi Electric ประเทศไทย รวมพลังความร่วมมือ ประกาศความพร้อมสร้างเครือข่าย ECOSYSTEM for Sustainable Building Collaboration เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero Emission อย่างยั่งยืน
Mitsubishi Electric ประเทศไทย รวมพลังความร่วมมือ
ประกาศความพร้อมสร้างเครือข่าย ECOSYSTEM for Sustainable Building Collaboration
เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero Emission อย่างยั่งยืน
Mitsubishi Electric ประเทศไทย จัดงาน Sustainable Building Collaboration 2024 พร้อมประกาศความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เดินหน้าสร้างอีโคซิสเตม (Ecosystem) ตอบโจทย์เทรนด์ “อาคารสีเขียว” ด้วยโซลูชั่นและผลิตภัณฑ์อัจฉริยะครบวงจรจาก Mitsubishi Electric และพันธมิตร เพื่อผลักดันไทยพิชิตเป้าหมาย Net Zero Emission อย่างยั่งยืน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องเผชิญ และแน่นอนว่าประเทศไทยเอง ก็ไม่สามารถหลีกหนีไปจากความท้าทายนี้ เพราะจากข้อเท็จจริงล่าสุดระบุว่า ประเทศไทย อยู่ในอันดับ 9 ของประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทย จึงได้วางเป้าหมายระยะยาวในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และจะเดินหน้าสู่ Net Zero Emission หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายระยะยาวนี้ จำเป็นต้องมีการดำเนินการในระยะสั้นก่อน โดยประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายระยะสั้นคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2030
และล่าสุดในปี 2024 ประเทศไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก "ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย" หรือ "พ.ร.บ.โลกร้อน" เสร็จสมบูรณ์แล้ว และแผนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งหลังจากผ่านการอนุมัติจาก สศช. แล้วจะถูกนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติในขั้นสุดท้าย เมื่อแผนได้รับการอนุมัติ จะสามารถดำเนินการในทุกภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภาคพลังงาน ขนส่ง อุตสาหกรรม การจัดการของเสีย และการเกษตร
ดังนั้น ปี 2024 จึงเป็นปีแห่งการเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม กับการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงและบทบัญญัติของ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ซึ่งนอกเหนือจากภาคการผลิตที่ต้องปรับตัวแล้ว การให้ความสำคัญกับการสร้าง “อาคารสีเขียว” หรือ การปรับเปลี่ยนอาคารให้สอดคล้องกับแนวคิด Sustainable Building ที่ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงาน ไปจนถึงการผลิตพลังงานทดแทนขึ้นมาใช้ในอาคาร ก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่จะมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Mitsubishi Electric ประเทศไทย จึงได้จัดงาน Sustainable Building Collaboration 2024 ขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ เพื่อสนับสนุนธุรกิจในภาคการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคาร ให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้แต่ละธุรกิจสามารถตัดสินใจได้บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด เพื่อเตรียมพร้อมก้าวสู่อนาคตด้านความยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์การบริหารการใช้ทรัพยากรและพลังงานเพื่อการลดคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ
ประกอบด้วยข้อมูลด้านการสาธิต ให้ความรู้หลักการสำคัญในการสร้าง Sustainability Building ตลอดจนชี้ให้ผู้เข้าร่วมงานได้เห็นโอกาสในการสร้างเครือข่าย โดยในวันนี้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีและแนวปฏิบัติด้านการวางแผนระบบอาคารที่ยั่งยืน ด้วยการสาธิตจากบริษัทในกลุ่ม Mitsubishi Electric ประเทศไทย รวมถึงบริษัทผู้แทนจำหน่าย ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ ที่จะนำไฮไลต์ของผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น ที่โดดเด่นของแต่ละบริษัทมาร่วมจัดแสดงในบูธต่างๆภายในงาน
เข้าใจแนวคิดตั้งต้น “การบริหารจัดการด้านความยั่งยืน” ของ Mitsubishi Electric Group

Mr. Tetsuya Shinohara
Managing Director
Mitsubishi Electric Asia (Thailand) Co., Ltd.
“ในงานวันนี้เราตั้งใจกำหนดหัวข้อการบรรยาย ให้ความรู้ที่น่าสนใจของระบบอัตโนมัติที่ใช้ในการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ซึ่งเราเล็งเห็นโอกาสว่าทุกภาคส่วนจะสามารถประสบความสำเร็จไปด้วยกันภายใต้เป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ต้องร่วมกันลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศและเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนด้วยความร่วมมือกัน โดยทางกลุ่ม Mitsubishi Electric มีความพร้อมที่ทำงานร่วมกันกับทั้งบริษัทในเครือและรวมถึงบริษัทพันธมิตรของลูกค้าทั้งที่เป็นหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ไปด้วยกัน”
“โดยที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเป็นภารกิจที่ท้าทายไม่น้อยสำหรับกลุ่ม Mitsubishi Electric และบริษัทที่เป็นพาร์ทเนอร์ของเราที่ได้ร่วมกันคิดค้นและออกแบบโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน และแน่นอนว่าเรามีความตั้งใจที่จะส่งมอบโซลูชั่นนี้ให้กับลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนด้านทรัพยากร ความคิดสร้างสรรค์ ความเชี่ยวชาญ เพื่อร่วมลดปริมาณคาร์บอน ก๊าซเรือนกระจก ให้กับลูกค้าของเราอย่างได้ผล”
“ก่อนที่จะเริ่มงานในวันนี้ผมขอกล่าวถึงข้อมูลย่อๆ ของกลุ่ม Mitsubishi Electric เราเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่เป็นหนึ่งใน “บริษัทร้อยปี” เพราะ Mitsubishi Electric ได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1921 และทางบริษัทได้ขยายธุรกิจมาที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 1964 โดย Mitsubishi Electric Group ในประเทศไทย มีธุรกิจทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ ระบบอาคาร เครื่องปรับอากาศและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน ระบบอัตโนมัติที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม อุปกรณ์ ชิ้นส่วนและเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ พลังงานและระบบไฟฟ้า”
“ซึ่งเราได้วางกลยุทธ์ของบริษัทโดยมีเป้าหมายมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่มีชีวิตชีวาและยั่งยืน โดยเน้นให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนของส่วนรวม ใช้หลักการพื้นฐานของเราในการร่วมแก้ปัญหาที่ท้าทายของสังคมด้วยการใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่เรามี ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้าน เช่น ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คุณภาพชีวิตที่ดี (Well-being)โดยเราได้นำแนวคิดวิศวกรรมดิจิทัลแบบหมุนเวียน “Circular Digital-Engineering” มาใช้ เพื่อช่วยสร้างมูลค่าทางสังคมและเศรษฐกิจ เป็นระบบการเชื่อมโยงองค์ความรู้สำคัญสู่ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างคุณค่าใหม่เป็นการนำเสนอแนวทางการร่วมมือกันเพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ ตอบโจทย์ความท้าทายของสังคมในทุกด้าน นอกจากนั้นที่ผ่านมาเรายังได้ออกแบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Serendie” ขึ้น เพื่อเป็นระบบกลางในการบริหารจัดการข้อมูลและความร่วมมือของในกลุ่มฯและรวมถึงพันธมิตรเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามแนวทาง Circular Digital Engineering ด้วย”
อัปเดตนโยบายของ อบก. เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

คุณ ภคมน สุภาพพันธ์
ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
“ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่อยู่ในอันดับ 9 ที่จะได้รับผลกระทบจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก และในตอนนี้เรามีพันธสัญญากับ Paris Agreement ที่ทำให้ประเทศไทยมีหน้าที่ร่วมกับทุกประเทศทั่วโลกในการควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส นอกจากนั้นมีการคาดการณ์ออกมาด้วยว่า ถ้าเราไม่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน GDP ของประเทศไทยจะลดลงได้ตั้งแต่ 5 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 44 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ภาวะโลกร้อนจึงไม่เพียงส่งผลกระทบทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย แต่ยังส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกได้ไม่น้อยเลย”
“ขณะที่ในระดับองค์กรทั่วโลกยังต้องมีภารกิจที่จะต้องขับเคลื่อนองค์กรโดยมุ่งสู่ Net zero อย่างช้าที่สุดภายในปี 2050 โดยภาคอุตสาหกรรมก็เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก และจากนี้ไปภาคอุตสาหกรรมไทยต้องมีการรายงานอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรในทุกปี ตามบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ลดโลกร้อน รวมถึงถ้าผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่มีค่าการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากก็จะต้องมีการเก็บภาษีเพิ่มด้วย โดย พ.ร.บ. นี้คาดว่าจะมีการประกาศใช้อย่างช้าที่สุดในปี 2025”
“และเพื่อเป็นตัวช่วยให้กับผู้ประกอบการไทย ในปัจจุบันทาง อบก. ได้พัฒนาเครื่องมือหลากหลายให้องค์กรได้นำไปประยุกต์ใช้ในการลดคาร์บอน มุ่งสู่ Net zero ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถลดต้นทุน ทั้งในส่วนของค่าผู้ทวนสอบให้กับองค์กรรับรองต่างชาติได้ ทาง อบก. จึงเร่งสร้างกลไกการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ทั้งในระดับองค์กรและในระดับผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้นยังมีการรับรองในส่วนของคาร์บอนเครดิต ซึ่งในส่วนของการรับรองนี้ก็สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญในเรื่องของคาร์บอนฟุตพริ้นซ์ ด้วยเหตุนี้อุตสาหกรรมการผลิตของไทยก็ต้องปรับตัวกับเทรนด์นี้ถ้าอยากส่งสินค้าไปยังประเทศในกลุ่มที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม EU”
“จนกระทั่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เกิดกระแสการสร้าง “อาคารสีเขียว” ขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่ากระแสนี้มีส่วนช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การก่อสร้างไปจนถึงการใช้งานตัวอาคาร อย่างในช่วงระหว่างการก่อสร้าง จะเกิด Embody Carbon ซึ่งจะคิดจากวัสดุก่อสร้างทุกชิ้นส่วนที่เอามาประกอบเป็นอาคาร ทำให้ที่ผ่านมามีผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลายแบรนด์เข้ามาขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นต์สำหรับผลิตภัณฑ์เศรษฐกิจหมุนเวียนกันอย่างต่อเนื่อง”
ถอดบทเรียนจาก SUSTIE ต้นแบบ Net Zero Energy Building ของ Mitsubishi Electric Corporation

Mr. Hiroki Nishiyama
Global Manager of Data Center Marketing
Mitsubishi Electric Corporation
“SUSTIE หรือ Net Zero Energy Building (ZEB) เป็นอาคารที่ทาง Mitsubishi Electric Corporation ได้ออกแบบขึ้นเพื่อตอบสนองทั้งในเรื่องของการประหยัดพลังงานและสุขภาวะที่ดี สุขภาพ ตลอดจนความสะดวกสบายของผู้ที่อยู่ในอาคารนี้ไปในเวลาเดียวกัน ด้วยการวางระบบการประหยัดพลังงานในระดับสูง (High Energy Saving System)”
“คำว่า “SUSTIE” เป็นการผสมผสานคำว่า Sustainability และ Energy เพื่อสื่อให้เห็นถึงแนวคิดสำคัญในการออกแบบอาคารนี้คือ “ความยั่งยืน” และ “การประหยัดพลังงาน” ซึ่งอาคาร SUSTIE นี้ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งในด้านการประหยัดพลังงานและการสร้างสุขภาวะและสภาพแวดล้อมในออฟฟิศที่ดีสำหรับผู้ที่อยู่ในอาคารนี้ด้วย”
“โดยในอาคารนี้มีระบบการตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังมีการวางระบบอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อควบคุมระบบเครื่องปรับอากาศให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด รวมถึงมีหน้าจอที่แสดงให้เห็นปริมาณการใช้พลังงานในตัวอาคาร ปริมาณพลังงานทดแทนที่สร้างขึ้นจากการใช้ Solar Panel ไปจนถึงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในอาคาร และถ้าตรวจพบว่ามีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากการมีคนจำนวนมากในห้องหรือพื้นที่นั้นๆ ทางผู้ดูแลอาคารก็จะทราบได้ทันที”
“SUSTIE เป็นต้นแบบของอาคารสำนักงานระดับกลางที่มีพื้นที่ก่อสร้างประมาณ 1,950 ตารางเมตร โครงสร้างเป็นโครงสร้างเหล็ก 4 ชั้น ในการออกแบบอาคาร SUSTIE เราได้รับการประเมินและให้คะแนนการออกแบบเป็นมาตรฐานสูงสุดของ 2 มาตรฐานที่มีความสำคัญมากในประเทศญี่ปุ่น นั่นคือ BELS ในด้าน Energy-efficiency ได้คะแนน Ranking อยู่ในอันดับ 5 และอีกมาตรฐานหนึ่งคือ CASBEE เป็นมาตรฐานชี้วัดด้านสุขภาพวะและสุขภาพ ได้รับมาตรฐานสูงสุด S5 Stars”
“จุดประสงค์ที่สร้าง SUSTIE ขึ้นมาก็เพื่อเร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบ ZEB (Net Zero Energy Building) และต้องการให้ SUSTIE เป็นต้นแบบของการพัฒนาและนำมาใช้กับโครงการอื่นๆต่อไป โดยจุดเด่นสำคัญของ SUSTIE ที่เป็นต้นแบบของ ZEB คือ จะต้องเป็นอาคารที่ใช้พลังงานลดลงจากอาคารปกติอย่างมาก และสามารถผลิตพลังงานเองโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งต้องมีความสมดุลระหว่างพลังงานที่ผลิตเองและพลังงานที่ใช้ไปต้องบวกลบกันแล้วได้ค่าที่ศูนย์”
“สำหรับการ Certified ระบบ ZEB ที่ประเทศญี่ปุ่น มีอยู่ 4 ระดับ และ SUSTIE ได้รับการรับรองในขั้นสูงสุด คือ [ZEB] สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ผ่านการประหยัดพลังงานและผลิตพลังงานเพิ่มได้ด้วยระบบพลังงานทดแทนของอาคาร โดยการสร้าง SUSTIE ขึ้นมานั้นมีจุดประสงค์หลัก 4 ประการ คือ หนึ่ง เลือกสร้างตัวอาคารเป็นอาคารขนาดกลาง ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการตึกประเภทนี้มากที่สุด สอง วางแผนการสร้างอาคารนี้ขึ้นในเขตเมืองที่มีพื้นที่ไม่มาก และเพิ่มความท้าทายในการก่อสร้างอาคารนี้ในพื้นที่ที่สร้าง Solar Panel ได้ค่อนข้างยาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีที่ทาง Mitsubishi Electric Corporation นำมาใช้ สาม ตั้งเป้าหมายให้บรรลุทั้งในด้านการประหยัดพลังงานและใช้พื้นที่ได้อย่างมีศักยภาพเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมและสะดวกสบาย และ สี่ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการทำงานในระบบ ZEB ได้อย่างเต็มที่”
“ในส่วนของการสร้าง SUSTIE เราได้ใช้จุดแข็งของ Mitsubishi Electric โดยการนำอุปกรณ์และระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการประหยัดพลังงานในระดับสูง ยกตัวอย่าง ระบบการระบายอากาศ จะแนะนำให้ใช้ในแบรนด์ Lossnay เพื่อลดความแตกต่างของอุณหภูมิที่วัดค่าจากอุณหภูมิในตัวอาคารและภายนอกอาคาร ส่วนระบบลิฟต์จะใช้ลิฟต์ของ Mitsubishi Electric เองซึ่งสามารถเชื่อมต่อได้กับการทำงานในทุกระบบอย่างราบรื่น นอกจากนั้นในส่วนของฮาร์ดแวร์ เราก็มีผลิตภัณฑ์คุณภาพที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนบรรลุจุดประสงค์ด้านการประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ในการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคาร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การทำให้ผู้ดูแลอาคารได้เห็นสภาพการใช้พลังงานในอาคารแบบเรียลไทม์ หรือ ZEB Visualize Screen ซึ่งสำหรับ SUSTIE เราก็ได้เห็นว่าอาคารนี้ประหยัดพลังงานได้เท่าไรอยู่เป็นรายวินาที นอกจากนั้นยังดูได้ว่ามีจำนวนคนอยู่ในห้องนั้นเท่าไร เพื่อผลิตและจ่ายพลังงานไปได้อย่างเหมาะสมด้วย และข้อมูลที่ได้เหล่านี้ก็จะนำมาเก็บและ Simulated เป็นข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ ปรับปรุง การทำงานใน อาคาร SUSTIE นี้ได้ตลอดเวลา ซึ่งหลังจากได้เข้าไปใช้ตัวอาคารนี้จริงเราได้เก็บข้อมูลและพบว่าสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานได้สูงถึง 115 เปอร์เซ็นต์”
Mitsubishi Electric Kang Yong Wattana อีกหนึ่งความเข้มแข็งของ Mitsubishi Electric ผู้นำผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นอัจฉริยะตอบสนองเทรนด์ Sustainability Building

คุณจามร วงศ์สุขเสมอใจ
Assistant Department Manager
Mitsubishi Electric Kang Yong Wattana Co., Ltd.
“ในอาคารทุกอาคาร พบว่าระบบปรับอากาศจะเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในอาคารโดยเฉพาะเครื่องทำน้ำเย็น หรือ Chiller สินค้าประเภทนี้จะใช้พลังงานมากที่สุด และในวันนี้ทาง Mitsubishi Electric Kang Yong Wattana ก็ได้พัฒนาเครื่องทำน้ำเย็นที่สามารถประหยัดพลังงานมากขึ้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเครื่องทำน้ำเย็นนี้เป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ CLIMAVENETA ที่เป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มของ Mitsubishi Electric ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ระบบ Oil free magnetic bearing centrifugal chiller เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ใช้น้ำมันหล่อลื่นใน Chiller จึงมีประสิทธิภาพสูงกว่า Chiller แบบเดิม และทำความเย็นได้สูงสุดถึง 2,000 ตัน ด้วยองค์ประกอบของการใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
“นอกจากนั้นเทคโนโลยีล่าสุดยังทำให้ Chiller เลือก Load การทำงานตามสภาวะที่เกิดขึ้นจริง โดยระบบจะทราบได้ว่าเมื่อไรควรจะเปิด-ปิด Chiller แต่ละตัว ดังนั้นสินค้าของ Mitsubishi Electric จึงสามารถประมวลผลการทำงานตามจริงและพยายามให้ตัวเครื่องทำงานอยู่ในโหมดที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด และเรายังใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยทำความเย็นได้สูงสุดถึง 300 ตัน ซึ่งสินค้าตัวนี้ก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ทางอาคาร SUSTIE ได้นำมาใช้ด้วย”
“และอีกหนึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าขายดี คือ ระบบปรับอากาศ VRF ซึ่งได้รับการพัฒนาจนเป็นโมเดลใหม่ล่าสุดปี 2024 ที่ได้รับการรับรองประสิทธิภาพจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 สามารถรักษาสิ่งแวดล้อมได้โดยการลดการปล่อยปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 3,722 กิโลกรัมต่อปี”
Mitsubishi Electric Factory Automation (Thailand) Co., Ltd. จับมือพันธมิตร พร้อมแชร์มุมมองการสร้างอีโคซิสเตมตอบโจทย์ Sustainability Building Collaboration ในประเทศไทย

มาถึงช่วงเวลาของการเสวนา หรือ Panel Discussion ที่จะมีการมาแชร์แนวทางการสร้างอีโคซิสเตมตอบโจทย์ Sustainability Building Collaboration ในประเทศไทย โดยคุณปฤณวัชร ปานสิงห์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารการตลาดอุตสาหกรรมจาก Mitsubishi Electric Factory Automation (Thailand) Co., Ltd. และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ คุณขจรศักดิ์ สุวัฒน์ธนากร – กรรมการรองผู้จัดการ จาก Siam Compressor Industry Co., Ltd. และ คุณเชวง เศรษฐพร - ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อ, ผู้อำนวยการอาวุโส และ คุณแจ่มจันทร์ ศิริกาญจนาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย ESG finance จาก ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
คุณปฤณวัชร ได้มาแชร์มุมมองในฐานะผู้นำในการเสนอโซลูชั่นอัจฉริยะให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยที่ครอบคลุมไปถึงโซลูชั่นสำหรับการบริหารจัดการใน Sustainability Building ว่า “ในส่วนของ MELFT เราดูแลในส่วนของระบบออโตเมชั่นที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม แต่ในการนำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุดเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ไม่ได้มีการแยกกัน เพราะการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายนี้มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การปรับเอาเทคโนโลยีในด้านต่างๆมาใช้เพื่อพิชิตเป้าหมายในด้านนี้ ดังนั้น MELFT จึงตั้งใจทำทุกภารกิจโดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับ R&D (Research and Development) เพื่อออกแบบและพัฒนาโซลูชั่นต่างๆ ที่จะมารองรับทุกปฏิบัติการที่เกิดขึ้นเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net zero นี้ไปพร้อมกัน”
“ที่ผ่านมาเรายังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนหรือ Co-creation เพื่อสร้างโซลูชั่น สร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ เพื่อไปตอบสนองกับปัญหาต่างๆ บนความชำนาญของแต่ละส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรามีพันธมิตรต่างๆกระจายอยู่ทั่วโลกตั้งแต่ Alliance และในส่วนของบริษัทผู้คิดค้นเทคโนโลยี ที่สามารถนำเอา Data ต่างๆ มาบริหารจัดการเพื่อนำไปแก้ปัญหาต่างๆ ในแต่ละเรื่อง ดังนั้นจึงมีความมั่นใจได้ว่าในมุมของเครือข่ายหรือ Collaborate ทาง Mitsubishi Electric ได้ให้ความสำคัญและมีประสบการณ์ในเรื่องของการนำเสนอโซลูชั่นตอบสนองกับเทรนด์ SDG มาอย่างยาวนานพอสมควร”
“โดยโซลูชั่นสำหรับ ZEB Building ที่เราจะไปนำเสนอให้กับลูกค้านั้น เป็นโซลูชั่นที่ Mitsubishi Electric ได้นำไปปรับใช้ทั้งในโรงงานและอาคารของ Mitsubishi Electric เองก่อน จนแน่ใจในประสิทธิภาพที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานรับรองที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกแล้วจึงได้นำเสนอให้กับลูกค้า มากไปกว่านั้นเมื่อ Mitsubishi Electric ประสบความสำเร็จในการพัฒนาต้นแบบอาคารหรือระบบต่างๆ เรายังตั้งใจเปิดให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ของทุกภาคส่วนด้วย และในการจัดงานวันนี้ทาง MELFT ก็ได้โอกาสมาเน้นย้ำในปณิธานเรื่องการเป็นผู้นำเสนอโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ Decarbonization ในภาคอุตสาหกรรม โดยทาง คุณวิเชียร งามสุขเกษมศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น ประเทศไทย จำกัด (MELFT) ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2022 และในวันนี้เราก็พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อสร้างอีโคซิสเตมใน Sustainability Building Collaboration ของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ”
“โดยสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของเส้นทางการมุ่งสู่ Carbon Neutrality ลดการปลดปล่อยคาร์บอนของทุกองค์กร เราต้องวัดปริมาณคาร์บอนในทุกกระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะถ้าวัดไม่ได้ก็เท่ากับจัดการไม่ได้ และต้องเห็นได้ชัดเจนเพื่อนำมาวิเคราะห์และเข้าสู่กระบวนการของการลงมือทำเพื่อลดปริมาณคาร์บอนในแต่ละขั้นตอน ที่ผ่านมา MELFT ใช้ SCADA GENESIS64™ มาเชื่อมโยงข้อมูลทุกอย่างของเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้รู้ว่ามีการทำงานอย่างไร มีปัญหาอะไร แล้วเราจะเจอจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงไหม และในงานวันนี้ธีมงานคือ Sustainability Building Collaboration ที่รวมพลังของพันธมิตรทุกภาคส่วนมาขับเคลื่อนให้เกิดอีโคซิสเตม การนำเทคโนโลยีต่างๆไปใช้อย่างเหมาะสม โดยทาง MELFT และ Mitsubishi Electric Corporation เป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่จะนำเสนอโซลูชั่นที่พร้อมเชื่อมกับทุกส่วนงาน ตามแนวทางที่ Mitsubishi Electric ยึดมั่น ทั้งการทำให้เทคโนโลยีทุกอย่าง Seamless คือไร้รอยต่อและเชื่อมกันได้หมด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของ Mitsubishi Electric เองหรือหน่วยงานอื่น ยิ่งโฟกัสในมุมของ Sustainability Building ทาง Mitsubishi Electric ได้มีผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์เทรนด์นี้แทบทุกด้านอยู่แล้ว กล่าวได้ว่า Mitsubishi Electric เราเป็นตัวจริงที่มีความชำนาญและมีความพร้อมในภาคส่วนของ Building Management ที่ตั้งใจในการผลักดันให้เกิด Sustainability Ecosystem อย่างแท้จริง”

ด้านคุณขจรศักดิ์ได้กล่าวเสริมในมุมของนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนที่ SCI ตั้งใจสร้างขึ้นว่า
“ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในด้านการขับเคลื่อนให้เกิดมิติของความยั่งยืนขึ้นในภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ให้เกิดขึ้นในทาง “แก้จุดอ่อน เสริมจุดแข็ง” โดยทาง SCI เอง ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนแนวทาง ESG โดยเฉพาะในด้าน Environment ซึ่งทาง SCI เป็นผู้นำในการติดตั้งโซลาเซลล์ 4.5 เมกะวัตต์ ลด Carbon Emission ได้ถึง 8 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี ไปจนถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน และตอบโจทย์ Circular Economy หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียนและมีการพัฒนาสินค้าให้ประหยัดพลังงาน และล่าสุด เรากำลังจะเซ็น MOU กับภาครัฐบาล ที่จะมานำ Clean Energy ไปใช้ โดยเราตั้งเป้าว่าในปี 2030 SCI จะใช้ Clean Energy 100 เปอร์เซ็นต์”

มาถึงในภาคการเงิน การธนาคาร คุณแจ่มจันทร์ ได้กล่าวให้ข้อมูลด้านการสนับสนุนสินเชื่อ ไปจนถึงการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทยในการทำธุรกิจสีเขียวว่า
“ในส่วนของภาคการเงิน เราเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ขับเคลื่อนและร่วมมือในการสนับสนุนโครงการต่างๆ ตามแนวคิดการเงินเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเราดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2018 เช่น การจัด Krungsri Tech Day ที่มีการให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล หรือมีการจัด Forum เพื่อนำเสนอแนวทางสนับสนุนธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว โดยทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นมาก็เพื่อให้ภาคธุรกิจได้เตรียมความพร้อมรับกับการบังคับใช้ Climate Change Act ที่จะมีการเก็บภาษีอย่างเป็นทางการ”
“ขณะเดียวกัน ด้วยเทรนด์การก่อสร้างอาคารสีเขียว ทางธนาคารฯ ก็เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถมาขอวงเงินสินเชื่อ Green Finance ได้ด้วย และการที่ธนาคารจะสนับสนุนธุรกิจให้ปรับตัวไปสู่ “ธุรกิจสีเขียว” ทางธนาคารก็ต้องมีข้อมูลที่วัดได้และประเมินได้เช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้ต้องอาศัยโซลูชั่นและเทคโนโลยีจากหน่วยงานอื่นๆที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันในอีโคซิสเตมที่เราจะสร้างขึ้นนี้ เพื่อทำงานเสริมซึ่งกันและกัน นำสู่การบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ที่ตั้งไว้ได้”

ส่วน คุณเชวง ก็ได้กล่าวเสริมในมุมของการสร้างความแข็งแกร่งให้ SME ไทยปรับตัวไปสู่ “ธุรกิจสีเขียว” ว่า
“ในส่วนของ SME เมื่อพูดถึงโจทย์ความยั่งยืนก็จะมีความแตกต่างจากภาคธุรกิจใหญ่ ซึ่งต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาความตระหนักรู้ หรือ Awareness ในเรื่องของการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นยังคงน้อยอยู่ ตั้งแต่ในแง่ของการปรับเอาเทรนด์ ESG มาใช้ในการประกอบธุรกิจ ไปจนถึงการรู้ด้วยว่าในอนาคตอันใกล้ การทำธุรกิจของ SME นั้น จะต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงอะไร เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายอย่าง Climate Change Act ดังนั้น กรุงศรี ในฐานะธนาคาร เราจึงมีหน้าที่ในการสร้างความตระหนักรู้ให้กับ SME ไทยในทุกมิติ”
“ดังนั้น ความท้าทายของภาคการเงิน การธนาคาร คือ การผลักดัน SME ไทย ตระหนักรู้ในเรื่องการทำธุรกิจสีเขียวด้วยการเสริมด้วยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ ในทุกมิติที่เกี่ยวเนื่องกับการทำธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและร่วมลดการปลดปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ ขณะที่ ทางกรุงศรีก็จะเดินหน้าสนับสนุนในเรื่องของ “การเงินเพื่อความยั่งยืน” ไม่ว่าจะเป็น กลไกการสนับสนุนสินเชื่อ การจัดโครงการต่างๆที่จะสนับสนุนให้ SME ไทย มีความรู้และความพร้อม เช่น การเปิดรับ SME ให้มาเรียนรู้ด้านความยั่งยืนผ่าน ESG Academy ของกรุงศรี เป็นต้น”